ราคา Cardano

Cardano (ADA) คืออะไร?

Cardano คือเครือข่ายบล็อกเชน Proof of Stake (PoS) แบบกระจายศูนย์รุ่นที่สาม โดยเป็นทางเลือกที่ทดแทนเครือข่ายแบบ Proof of Work (PoW) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

Cardano ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มประสิทธิภาพสูงที่มีความยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ และยั่งยืนสำหรับการใช้งานสัญญาอัจฉริยะ เพื่อช่วยพัฒนาแอปแบบกระจายศูนย์ (dApps), เกม, สินทรัพย์คริปโตใหม่ๆ และอื่นๆ อีกมากมาย

ADA คืออะไร?

ADA คือโทเค็นดั้งเดิมบนบล็อกเชน Cardano ที่ตั้งชื่อตาม Ada Lovelace  นักคณิตศาสตร์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “โปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์คนแรกของโลก” โดยโทเค็น ADA ขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม Cardano เช่นเดียวกับที่โทเค็น ETH ขับเคลื่อนเครือข่าย Ethereum

Cardano (ADA) ใช้ทำอะไร?

บุคคลทั่วไปสามารถใช้โทเค็น Cardano หรือ ADA เพื่อโอนมูลค่าเหมือนกับที่เราทำกับ สกุลเงิน Fiat กันอยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังสามารถนำ ADA ไป Stake กับบล็อกเชน เพื่อช่วยให้ "ผู้ดำเนินการ Staking Pool" ยืนยันธุรกรรมได้สำเร็จ ซึ่งจะช่วยรักษาความปลอดภัยของบล็อกเชนโดยรวม ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ Stake ADA กับบล็อกเชนยังจะได้รับคริปโต Cardano เพิ่มเป็นรางวัลด้วย

ข้อแตกต่างจากโปรเจกต์บล็อกเชนอื่นๆ ก็คือ ผู้ถือโทเค็น ADA จะโหวตลงคะแนนการเปลี่ยนแปลงบน Cardano ได้ แต่นักขุดจะทำแบบนั้นไม่ได้ ดังนั้น ผู้ถือคริปโต Cardano จะใช้ ADA เพื่อโหวตลงคะแนนได้เมื่อมีการยื่นข้อเสนอใหม่ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลง Cardano เข้ามา ทำให้ใครก็ตามที่ถือ ADA อยู่ในมือมีสิทธิ์มีเสียงในการพัฒนาแพลตฟอร์ม

ในอนาคต นักพัฒนาอาจจะใช้ ADA เพื่อสร้างสัญญาอัจฉริยะและแอปต่างๆ ที่ทำงานบนบล็อกเชน Cardano แบบกระจายศูนย์ที่มีความปลอดภัย ซึ่งหากไม่มีโทเค็น ADA ดั้งเดิม การสร้างสัญญาอัจฉริยะเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

ใครคือผู้ก่อตั้ง Cardano (ADA)?

Charles Hoskinson ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum เป็นผู้นำทีมและสร้าง Cardano ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น การขาดความสามารถในการปรับขนาดและการทำงานร่วมกับบล็อกเชนสัญญาอัจฉริยะที่มีอยู่เดิม เช่น Ethereum 

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่สุดของแพลตฟอร์ม Cardano ก็คือ การพัฒนาระบบนิเวศคริปโตเคอเรนซีที่มีความยั่งยืนและสมดุลมากขึ้น ถึงแม้ว่า Cardano จะมีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นโปรเจกต์วิจัย แต่ก็ได้พัฒนากลายมาเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ

Cardano (ADA) ทำงานอย่างไร?

ระบบนิเวศ Cardano ecosystem มีการรักษาความปลอดภัยผ่าน Ouroboros ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ใช้โปรโตคอล PoS ในการขุดบล็อกและตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม Ouroboros เป็นโปรโตคอลแบบ Peer-reviewed ที่ช่วยลดรายจ่ายค่าพลังงานในระหว่างการขุดบล็อก โดยตัดความจำเป็นในการใช้ทรัพยากรการประมวลผลและ Hash Power จำนวนมหาศาล (ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับอัลกอริทึมแบบ PoW)

ในระบบ PoS ของ Cardano นั้น การ Stake จะเป็นตัวตัดสินว่าโหนดจะสร้างบล็อกขึ้นมาได้หรือไม่: โดยการ Stake ของโหนดจะเทียบเท่ากับจำนวน ADA ที่โหนดถือไว้ในระยะยาว

Ouroboros ทำงานอย่างไร

Ouroboros จะแบ่งเวลาออกเป็นหลายช่วงที่ประกอบด้วยสลอตเวลา โดยสลอตเวลาเหล่านี้จะคล้ายคลึงกับกะทำงานในโรงงาน ทั้งช่วงเวลาและสลอตเวลาสามารถกำหนดค่าและเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อตามข้อเสนอที่มีการปรับปรุงแก้ไข

แต่ปัจจุบัน หนึ่งช่วงเวลาเทียบเท่าระยะเวลา 5 วัน เมื่อช่วงเวลาหนึ่งสิ้นสุดลง ช่วงเวลาใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น ในทางตรงกันข้าม สลอตจะเทียบเท่ากับระยะเวลาเพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้น แต่ละสลอตมีผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งจากระบบ “ลอตเตอรี่” และยิ่งมีการ Stake มากเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสชนะลอตเตอรี่มากขึ้นเท่านั้น

Ouroboros จำเป็นต้องมีผู้ถือ ADA ไม่กี่รายออนไลน์และคงการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เสถียรเอาไว้ นอกจากนี้ อัลกอริทึมยังใช้แนวคิดของ Stake Pool ที่ช่วยลดการใช้พลังงาน โดยผู้ถือ ADA จะสามารถเข้าร่วมใน Stake Pool แล้วเลือกตัวแทนสองสามคนมาทำหน้าที่แทนพวกเขาทั้งหมดในระหว่างการดำเนินการโปรโตคอล กระบวนการแบบนี้ช่วยให้การเข้าร่วมทำได้ง่ายมาก และแพลตฟอร์มจะยังสร้างบล็อกขึ้นได้แม้ว่าผู้ใช้บางส่วนจะออฟไลน์อยู่ก็ตาม

เพราะเหตุใด Cardano (ADA) ถึงมีมูลค่า?

ประเด็นเกี่ยวกับความยั่งยืนของคริปโตทำให้มูลค่าของบิตคอยน์และเหรียญหลักสกุลอื่นๆ มีมูลค่าลดลง Bitcoin สูญเสียความนิยมไป หลังจาก Elon Musk ที่สนับสนุนเหรียญนี้มาโดยตลอดได้ออกมากล่าวว่า Bitcoin ขาดความยั่งยืน เขาจึงหันไปเทใจให้ Dogecoin แทน

ในช่วงนั้น คุณสมบัติด้านการประหยัดพลังงานและ “ความยั่งยืน” ของ Cardano ทำให้นักลงทุนมองว่าแพลตฟอร์มมีคุณค่าอย่างมาก ซึ่งความยั่งยืนของ ADA เป็นผลมาจากโปรโตตอลบล็อกเชนนั่นเอง โดยสิ่งที่แตกต่างจาก Bitcoin ก็คือ Cardano ไม่ได้อาศัยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในการสร้าง ADA ใหม่และประมวลผลธุรกรรม แต่ใช้ระบบ PoS ที่นักขุดจะ Stake คริปโตของตัวเองเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม ซึ่งกระบวนการนี้ช่วยลดการใช้พลังงานของ Cardano ลงมาเหลือเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่เครือข่าย Bitcoin ใช้

ในเดือนสิงหาคม 2564 ราคาของ ADA พุ่งขึ้นอย่างมาก และ Cardano กลายเป็นคริปโตเคอเรนซีที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกอย่างรวดเร็วหลังจาก Charles Hoskinson ประกาศเปิดตัว Alonzo Hard Fork

Alonzo Hard Fork ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 กันยายน 2564 ส่งผลให้ราคา Cardano ทะยานขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นเดือนกันยายน ก่อนการเปิดตัวฟังก์ชันสัญญาอัจฉริยะที่ในที่สุดก็มาอยู่บนบล็อกเชน Cardan แล้ว ในตอนนั้น ราคาของ Cardano ทะลุ $3 และทำราคาสูงสุดตลอดกาลที่ $3.101 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564

การทำ Alonzo Hard Fork ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสัญญาอัจฉริยะบนเครือข่าย Cardano ได้ นั่นแปลว่า แอปแบบกระจายศูนย์ (DApps) ก็สามารถสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มบล็อกเชน Cardano ได้เช่นกัน

อะไรทำให้ Cardano (ADA) ไม่เหมือนใคร?

Cardano ทำให้ตัวเองแตกต่างจากบล็อกเชนคู่แข่งโดยใช้สถาปัตยกรรมหลายชั้นที่ไม่มีใครเหมือนและหลักการทางคณิตศาสตร์ในกลไกฉันทามติ เรามาดูกันว่าอะไรทำให้ Cardano เป็นคริปโตเคอเรนซีที่ไม่มีใครเหมือนและน่าสนใจ

สถาปัตยกรรมหลายชั้น

บล็อกเชน Cardano ประกอบด้วยสองชั้น: Cardano Settlement Layer กับ Cardano Computational Layer

Cardano Settlement Layer เสร็จสมบูรณ์แล้วและปัจจุบันใช้งานได้แล้ว ชั้นนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคส่งเหรียญ ADA จากวอลเล็ตคริปโตหนึ่งไปยังอีกวอลเล็ตหนึ่ง

ส่วน Cardano Computational Layer อยู่ระหว่างการพัฒนา และมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เริ่มดำเนินการและลงชื่อเข้าร่วมในสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งถึงแม้ว่าจะคล้ายคลึงกับบล็อกเชน Ethereum แต่ว่ามีข้อได้เปรียบบางอย่าง

Cardano Computational Layer ปรับใช้งานได้มากกว่า โดยปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับข้อกำหนดของผู้ใช้ปลายทางได้ ตัวอย่างเช่น แต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบด้านเงินตราและทางการเงินแตกต่างกัน ซึ่ง Computational Layer จะช่วยให้สามารถเขียนสัญญาฉบับเดียวกันขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บ ประมวลผล และเข้าถึงข้อมูลตามกฎระเบียบเหล่านั้นได้ โดยการแยกชั้น Computational Layer ออกมาต่างหากช่วยให้ผู้ถือ ADA ใช้เงินสกุลเดียวกันได้ในหลายประเทศ พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศเหล่านั้น

Computational Layer ใช้โปรโตตอล PoS ในการยืนยันธุรกรรม อีกทั้งยังช่วยให้ทีมโปรเจกต์ Cardano ทำการเปลี่ยนแปลงโดยอาศัยการ Soft Fork โดยไม่ส่งผลกระทบต่อ ADA หรือ Settlement Layer และผู้ตรวจสอบ (ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าร่วม) จะต้องนำเหรียญ ADA มาลงทุนเพื่อเป็นการ “Stake” ในกระบวนการทั้งหมดนี้ โดยจะได้รับรางวัลตอบแทนตามสัดส่วนการลงทุน

ฉันทามติแบบ Proof of Stake

ฉันทามติแบบ PoS ช่วยให้โหนดที่มีปริมาณการ Stake (หรือเหรียญ) สูงสุด สร้างบล็อกธุรกรรมขึ้นมา Cardano ทำงานบน Ouroboros (ตามที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้) ซึ่งเป็นโปรโตคอลบล็อกเชนแบบ PoS ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการสร้างฉันทามติ โดยกลไกฉันทามตินี้จะช่วยให้ผู้ใช้ส่งและรับ ADA ได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับสัญญาอัจฉริยะบนเครือข่าย Cardano ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น Ouroboros ที่เป็นกลไกฉันทามติแบบ PoS ยังมอบรางวัลให้กับผู้ถือโทเค็นที่ Stake ADA เพื่อสร้างฉันทามติของเครือข่ายด้วย

มีเหรียญ ADA หมุนเวียนอยู่เท่าไหร่?

ขณะที่จัดทำบทความนี้ (13 มิถุนายน 2565) ราคาของ ADA อยู่ที่ $0.46 และมีปริมาณการเทรดในรอบ 24 ชั่วโมงมากกว่า $1.7 พันล้าน ปัจจุบัน Cardano มีมูลค่าตลาดประมาณ $15.7  พันล้าน โดยมีสินทรัพย์หมุนเวียนอยู่ในระบบ 33.75 พันล้านเหรียญ และ ADA มีอุปทานรวมสูงสุด 45 พันล้านเหรียญ

มีการจัดสรร ADA ประมาณ 2.5 พันล้านโทเค็นให้กับ IOHK ตอนเปิดตัวเครือข่าย และจัดสรร ADA จำนวน 2.1 พันล้านโทเค็นให้กับ Emurgo บริษัทเทคโนโลยีบล็อกเชนระดับโลกที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรผู้ก่อตั้งของเครือข่าย Cardano และสุดท้าย มีการจัดสรร ADA จำนวน 648 ล้านโทเค็นให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไร Cardano Foundation เพื่อใช้ในการส่งเสริมแพลตฟอร์มและเพิ่มระดับการนำไปใช้

ประมาณ 16% ของอุปทานรวมของ ADA ได้รับการจัดสรรให้กับผู้ก่อตั้งโปรเจกต์ ส่วนอีก 84% แบ่งจัดสรรให้กับนักลงทุน

วิธีจัดเก็บ ADA

หากคุณคิดจะซื้อโทเค็น ADA ควรเตรียมวอลเล็ตที่ปลอดภัยไว้ให้พร้อมก่อน วอลเล็ตคริปโตสำหรับจัดเก็บโทเค็น ADA มีสามประเภทให้เลือก ได้แก่:

• วอลเล็ตแบบฮาร์ดแวร์ (วอลเล็ตแบบเย็น): วอลเล็ตแบบฮาร์ดแวร์ออกแบบมาให้อยู่ในรูปของอุปกรณ์พกพาที่มีการรักษาความปลอดภัยด้วยคีย์ส่วนตัว เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวอลเล็ต “แบบเย็น” ซึ่งเหมาะกับการจัดเก็บและการสำรองข้อมูลแบบออฟไลน์อย่างปลอดภัย แต่ใช้งานยากกว่าและราคาแพงกว่าวอลเล็ตแบบอื่นๆ ดังนั้นจึงเหมาะกับผู้ใช้ที่มีประสบการณ์ช่ำชองและต้องการจัดเก็บโทเค็น ADA มูลค่าสูงมากกว่า

• วอลเล็ตแบบซอฟต์แวร์: วอลเล็ตประเภทนี้ดาวน์โหลดลงในสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ได้ จึงใช้งานง่ายกว่าวอลเล็ตแบบฮาร์ดแวร์

• วอลเล็ตแบบออนไลน์ (วอลเล็ตแบบร้อน): วอลเล็ตแบบออนไลน์จะเข้าถึงได้ผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์ แต่คุณจะต้องเลือกวอลเล็ตแบบออนไลน์อย่างระมัดระวัง เพราะเว็บไซต์บางแห่งอาจจะเสี่ยงต่อการถูกแฮ็ก

วิธีซื้อ ADA 

คุณสามารถซื้อ ADA ได้จากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตชั้นนำรวมถึง Bybit ด้วย 

การซื้อ ADA บน Bybit 

คุณสามารถซื้อ ADA บน Bybit ได้โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

1. ไปที่หน้าการเทรดสปอตของ ADA 

2. เลือกคู่เทรดจากฝั่งซ้ายมือของหน้า สำหรับ ADA คุณจะต้องเทรดด้วย USDT เท่านั้น

3. เลือกประเภทคำสั่งที่ต้องการใช้: Limit Order, Market Order หรือ Conditional Order

สำหรับคำสั่ง Limit Order:

1. เลือก Limit

2. ระบุราคาคำสั่ง

3. ระบุจำนวน ADA ที่คุณต้องการซื้อ

4. คลิก ซื้อ ADA

5. หลังจากยืนยันว่าข้อมูลถูกต้องแล้ว ให้คลิก ซื้อ ADA

6. ตรวจสอบรายละเอียดคำสั่งได้ภายใต้ เปิดใช้งานอยู่ บนหน้าเว็บ ส่วนในแอป Bybit ให้ไปที่ คำสั่ง

สำหรับคำสั่ง Market Order:

1. เลือก Market

2. ระบุจำนวนเงิน USDT ที่จ่ายเพื่อซื้อ ADA

3. คลิก ซื้อ ADA

4. หลังจากยืนยันว่าข้อมูลถูกต้องแล้ว ให้คลิก ซื้อ ADA

5. ดูรายละเอียดคำสั่งภายใต้ จับคู่

สำหรับคำสั่ง Conditional Order:

1. เลือก Conditional

2. ระบุราคาเงื่อนไข

3. เลือกดำเนินการที่ ราคาตลาด หรือ ราคาที่จำกัดไว้

1. ราคาตลาด: ไม่จำเป็นต้องตั้งราคาคำสั่ง

2. ราคาที่จำกัดไว้: จำเป็นต้องตั้งราคาคำสั่ง

4. ตามประเภทคำสั่ง:

1. Market Buy: ระบุจำนวนเงิน USDT ที่จ่ายเพื่อซื้อ ADA

2. Limit Buy: ระบุจำนวน ADA ที่คุณต้องการซื้อ

5. คลิก ซื้อ ADA

6. หลังจากยืนยันว่าข้อมูลถูกต้องแล้ว ให้คลิก ซื้อ ADA

7. ตรวจสอบรายละเอียดคำสั่งได้ภายใต้ Conditional บนหน้าเว็บ ส่วนในแอป Bybit ให้ไปที่ คำสั่งทั้งหมด → คำสั่งปัจจุบัน

หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม สามารถเข้าไปที่คู่มือการเทรดสปอตของ Bybit ได้เช่นกัน